วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคถ่ายวีดีโอง่ายๆ 10 ข้อที่ผู้ชมดูแล้วประทับใจ

1. คิดและวางแผนก่อนถ่ายวีดีโอ

ก่อนที่เราจะถ่ายวีดีโอในเหตุการณ์หรืองานอะไรก็แล้วแต่ เราจะต้องคิดและวางแผนก่อนว่า เราต้องการที่จะนำเสนออะไรในวีดีโอของเรา เช่น ผมไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนๆ ผมต้องการถ่ายวีดีโอที่เก็บบรรยากาศทั้งหมดว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง มีกิจกรรมอะไรที่ทำบ้าง และบรรยากาศในขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เราสามารถเขียนออกเป็นรายละเอียดได้ดังนี้

ป้ายสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และสภาพแวดล้อม เพื่อจะได้รู้ว่าไปเที่ยวที่ไหนกัน และเป็นอย่างไรบ้าง
บรรยากาศในขณะนั้น เช่น อาจจะถ่ายวีดีโอ candid เพื่อนๆ
มีกิจกรรมอะไรที่ทำบ้าง เช่น แวะซื้อของ เดินป่า เล่นน้ำตก
เมื่อเราแยกย่อยลงไปในแต่ละช็อต เราก็ต้องคิดอีกทีครับว่า เราจะจัดวาง composition ในการถ่ายวีดีโอเป็นอย่างไร ให้ตรงกับความต้องการของเรา เช่น ในขณะที่กำลังนั่งเรือ เราอยากจะให้เห็นบรรยากาศเพื่อนๆในขณะนั่งเรือพร้อมกับวิวทิวทัศน์

2. โฟกัสจุดที่เราสนใจในการถ่ายวีดีโอ


ก่อนที่เราจะกดบันทึกวีดีโอ เราจะต้องรู้ตัวเองดีว่า ในช็อตนี้เราต้องการที่จะถ่ายอะไร เราจะต้องถ่ายให้สำเร็จก่อนที่จะไปถ่ายสิ่งอื่นๆ เช่น ในขณะที่เรากำลังถ่ายเพื่อนของเราในงานรับปริญญาอยู่ เพื่อนของเรากำลังยืนถ่ายรูปกับเพื่อนๆอยู่ ขณะที่เรากำลังถ่ายวีดีโออยู่ มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินผ่านเราไป เราจะต้องถ่ายวีดีโอเพื่อนเราให้เสร็จก่อนที่จะหันกล้องไปถ่ายผู้หญิงสวยคนนั้น (ถ้าเดินไปไกลแล้วก็ถือว่าไม่ได้เป็นเนื้อคู่กัน ^ ^ )
จุดประสงค์หลักในข้อนี้ คือ ต้องการให้เรามีสมาธิในการถ่าย เพราะจะทำให้การจัดวาง composition มีความแน่นอน และกล้องก็จะไม่สั่นด้วย

3. ความยาวของวีดีโอในแต่ละช็อต


ธรรมชาติของคนเราเมื่อดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตาของคนเราจะจดจ้องกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่นิ่งๆได้ไม่นาน เช่น เราดูวีดีโอการบรรยายของวิทยากร ถ้าการถ่ายวีดีโอมีเพียงการถ่ายเฉพาะวิทยากรที่กำลังนั่งบรรยายอยู่ (uncut video) เราดูได้ซักพักก็จะรู้สึกเบื่อ ง่วงนอน นั่นคือธรรมชาติของคนครับ
เราไม่ควรจะตัดต่อวีดีโอในแต่ละช็อตให้ยาวนานเกินไป ควรจะตัดต่อวีดีโอจากการถ่ายวีดีโอหลายๆมุม เช่น normal view + bird eyes view + worm view และใช้รูปแบบการถ่ายหลายๆรูปแบบ เช่น wide shot + medium shot + close up ผสมผสานกันไป เวลาตัดต่อวีดีโอก็ตัดสลับไปมาระหว่างช็อตต่างๆ เช่น ในขณะที่วิทยากรกำลังบรรยาย เราก็อาจเอาบรรยากาศคนกำลังนั่งฟังเข้ามาแทรก (cutting shots) เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของคนดู
นอกจากนี้แล้ว พวก cutting shots ยังสามารถใช้สื่อความหมายของเหตุการ์ที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น ช็อตแรกเป็นหนูกำลังมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ทำให้ไม่กล้าลงไป ตัดมาช็อตที่สองเป็นรูปงู เป็นการสื่อความหมายว่าที่หนูไม่กล้าลงไปเพราะมีงูอยู่ด้านล่างนั่นเอง


4. ใบหน้าถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีที่สุด

ถ้าเราต้องการจะสื่อสารถึงอารมณ์ของตัวละครในฉาก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ดวงตา เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ปกติการถ่ายวีดีโออาจจะเริ่มที่ wide shot เพื่อให้เห็นบรรยากาศโดยรวมในขณะนั้น ฉากต่อมาอาจจะเป็น medium shot ระหว่างคนสองคนกำลังคุยกัน แต่พอเมื่อถึงจังหวะที่ต้องการจะสื่อสารถึงอารมณ์ในตัวละคร เช่น กำลังมีความสุข เศร้า หรือกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ เราจะต้องถ่ายวีดีโอแบบ close up เพื่อให้เห็นดวงตาที่ชัดเจนของผู้พูด

5. ซูมด้วยเท้าก่อนเป็นอันดับแรก

ยิ่งมีการใช้การซูมมากเท่าใด กล้องวีดีโอก็จะยิ่งมีความสั่นมากขึ้นเท่านั้น เป็นผลให้วีดีโอของเราไม่สามารถดูได้  เคยมีคนเคยคำนวณเอาไว้ว่า ถ้าเราซูมเข้าไป 10 เท่า การสั่นของกล้องวีดีโอก็จะเกิดขึ้น 10 เท่า

อันดับแรกที่จะแนะนำ คือ ใช้วิธีการเดินเข้าไปหาวัตถุแล้วถ่ายวีดีโอ โดยปรับค่าการซูมเป็นแบบกว้างที่สุด วิธีนี้ถึงแม้ว่ามือของเราจะสั่นเล็กน้อยในขณะทำการถ่าย แต่เนื่องจากกล้องวีดีโอมีระบบ image stabilization อยู่ จะทำให้มองไม่เห็นการสั่นเล็กน้อยเหล่านี้
ถ้าเราไม่สามารถเดินเข้าไปถ่ายวัตถุใกล้ๆได้ เช่น ถ่ายวีดีโอสัตว์ที่อยู่ในกรง ให้เราใช้ขาตั้งกล้องวีดีโอช่วย โดยเราต้องเลือกขาตั้งกล้องให้เหมาะกับกล้องวีดีโอของเราด้วย
กล้องวีดีโอจะมีระบบการซูม 2 แบบ คือ Optical zoom and Digital zoom ให้เราปิดการทำงานแบบ Digital zoom เพราะว่ามันเป็นการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งส่งผลให้คุณภาพที่ได้จากวีดีโอลดน้อยลง
การซูมยังมีผลต่อระบบโฟกัสอีกด้วย โดยเฉพาะระบบ auto focus เมื่อเราทำการซูมไปที่วัตถุหนึ่ง เมื่อวัตถุนั้นมีการเคลื่อนที่ กล้องวีดีโออาจจะเกิดการเบลอเป็นช่วงๆ เนื่องมาจากการซูมจะทำให้มีโอกาสหลุดโฟกัสสูง

6. Move – Point – Shoot – Stop

หลักการถ่ายวีดีโอง่ายๆมีอยู่ 5 ข้อครับ คือ

- Move เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่เราคิดว่า จะได้ช็อตที่ตรงกับความต้องการของเรา เช่น ถ้าเราต้องการถ่ายวีดีโอคู่บ่าวสาวเดินเข้ามาในงาน ให้ดูแล้วได้อารมณ์แบบยิ่งใหญ่ เราก็ต้องไปอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าคู่บ่าวสาว แล้วย่อตัวลงถ่ายวีดีโอในมุม worm view
- Point หลังจากได้ตำแหน่งแล้ว ให้เราทำการจัด composition ของเราให้เรียบร้อยก่อนที่จะถ่าย ในบางช่วงเวลาเราจะต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นช็อตที่ต่อเนื่องกันมา ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการถ่ายวีดีโอของเราเอง เช่น จากตัวอย่างด้านบน ถ้าเราจัด composition ได้ช้า เราก็จะได้ช็อตที่คู่บ่าวสาวก็จะเดินมาถึงเราสั้นๆ ทำให้การตัดต่อวีดีโออาจจะไม่ค่อยสวยงามเท่าไร
- Shoot หลังจากจัด composition แล้ว เราก็จะเริ่มถ่ายวีดีโอ โดยส่วนมากแล้วเราจะตั้งกล้องแบบนิ่งๆ วัตถุที่เคลื่อนที่เข้ามาจะเป็นจุดสนใจของผู้ชม หรือบางกรณีเราอาจจะเคลื่อนที่กล้องไปตามวัตถุ เพื่อที่จะสื่อสารถึงอารมณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ข้อแนะนำอย่างหนึ่งในการถ่าย คือ ไม่ควรใช้การซูมเข้าซูมออกในขณะถ่าย เพราะจะทำให้คนดูสับสนว่า จุดสนใจในช็อตนั้นมันคืออะไร
- Stop หลังจากที่เราถ่ายได้ช็อตที่เราต้องการแล้ว เราก็จะต้องเคลื่อนที่ไปหาตำแหน่งใหม่อีก เพื่อที่จะไปถ่ายช็อตที่เราต้องการต่อไป ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆ

7. พยายามให้แสงอยู่ด้านหลังเรา


เดี๋ยวนี้กล้องวีดีโอสมัยใหม่จะมีโหมดการปรับแสงอัตโนมัติ ถ้ามีแสงสว่างมากเกินไปก็จะมีการเปิดรูรับแสงให้เล็กลง ในทางตรงกันข้ามถ้ามีแสงไม่เพียงพอ ก็จะมีการเปิดรูรับแสงให้กว้างขึ้น
ระบบกล้องวีดีโอจะเกิดการสับสนถ้าในช็อตเดียวกันมีสภาพแสงที่แตกต่างกันมาก เช่น การถ่ายวีดีโอหมู่นอกอาคาร บางคนที่โดนแดดก็จะสว่างมาก คนไหนที่ไม่โดนแดดก็จะดูมืดเกินไป วิธีเบื้องต้นในการแก้ไข คือ เปลี่ยนตำแหน่งในการถ่าย หรือถ้าไม่สามารถย้ายตำแหน่งได้จริงๆ เราอาจจะใช้วิธีหาอะไรบังคนที่โดนแดด และมีข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาถ่ายวีดีโอ เราควรจะให้แสงอยู่ทางด้านหลังของเรา เพื่อส่องไปยังวัตถุที่อยู่ด้านหน้าของเรา เช่น การถารถ่ายวีดีโอในอาคาร เราไม่ควรจะให้วัตถุอยู่บริเวณริมหน้าต่าง เพราะแสงอาทิตย์จะส่องมาทางด้านหลัง ทำให้เป็นการถ่ายย้อนแสง ผลที่ได้ คือ วัตถุจะมีลักษณะเป็นภาพ Silhouette เงาดำมืด
การถ่ายวีดีโอในสถานที่ที่มีแสงไม่เพียงพอ การปรับรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะทำให้ภาพสว่างขึ้น แต่ผลที่ได้เพิ่มเติมก็คือ ภาพจะแตกเป้นเม็ดๆ และสีในภาพของเราจะซีด ไม่สดเหมือนกับธรรมชาติทั่วๆไป

8. อย่าใช้ effect ใดๆในกล้องวีดีโอ


เวลาเราถ่ายวีดีโออะไรก็ตาม เราไม่ควรจะใช้ฟังก์ชั่น effect ต่างๆที่กล้องวีดีโอมีให้ เช่น night vision, posterizing, sepia หรืออื่นๆ เพราะว่าเมื่อเราใช้แล้ว เราไม่สามารถที่จะแก้ไขวีดีโออันนั้นให้กลับมาเป็นปกติได้อีก เราควรจะถ่ายวีดีโอแบบปกติธรรมดา เมื่อเราได้ footage นั้นมาแล้ว ค่อยนำไปปรับแต่งแก้ไขในโปรแกรมตัดต่อวีดีโออีกที วิธีการนี้จะช่วยทำให้เราสามารถใช้วีดีโอได้ในหลากหลายสถานการณ์

9. ชนิดของงานแปรผันกับความยาวของวีดีโอทั้งหมด

ในหัวข้อนี้จะพูดถึงเรื่องความยาวของวีดีโอทั้งหมดหลังจากตัดต่อเสร็จแล้ว เราจะต้องคิดและวางแผนตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่า เราถ่ายวีดีโอเพื่อที่จะไปนำเสนออะไร เช่น ถ้าเราถ่ายวีดีโอเพื่อทำ wedding presentation ให้กับคู่บ่าวสาว วีดีโอของเราควรจะมีความยาวไม่เกิน 10 นาที เราก็จะต้องคิดว่าในแต่ละฉาก ควรจะมีความยาวประมาณเท่าไร ฉากสัมภาษณ์ไม่ควรเกิน 2 นาที ฉากริมทะเลประมาณ 3 นาทีประมาณนี้ ถ้าเราทำวีดีโอที่มีความยาวมากเกินไป นอกจากจะทำให้น่าเบื่อแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นอีกด้วย


10. ไมโครโฟนภายนอกเป็นสิ่งจำเป็น


ปัญหาที่พบกันบ่อยๆในการถ่ายวีดีโอ คือ เรื่องเสียง เพราะว่าส่วนมากแล้วเราจะใช้ไมโครโฟนที่ติดมากับตัวกล้องถ่ายวีดีโอ ผลที่ได้ก็คือ ทั้งเสียงรถ เสียงคนคุยกัน เสียงเด็กร้องไห้ จะมารวมอยู่ในวีดีโอของเราหมด เพราะว่าไมโครโฟนที่ติดอยู่กับตัวกล้องมีลักษณะ คือ รับเสียงจากทุกทิศทางเข้ามาในตัวกล้อง

วิธีแก้ไขง่ายๆคือ เราต้องเอากล้องวีดีโอไปใกล้แหล่งกำเนิดเสียงให้มากที่สุด ซึ่งจริงๆแล้ววิธีนี้ อาจใช้ไม่ได้ในบางกรณี เช่น ผู้พูดอยู่บนเวที เราจึงต้องใช้ไมโครโฟนภายนอก (External Microphone) ช่วยในการบันทึกเสียง เราอาจจะใช้วิธีต่อสายไมโครโฟนเข้ากับกล้องเพื่อบันทึกเสียงโดยตรง หรืออาจจะใช้วิธีบันทึกเสียงแยกต่างหาก แล้วใช้โปรแกรมตัดต่อวีดีโอนำเสียงนั้นมา Sync กับวีดีโออีกที

อ้างอิงจากเว็บ : http://www.xn--l3cdl7ac1a7b0al6ab0nxc.com/

การเลือกสอบ TU-STAR

ในการเลือกสอบคาดว่าน้องๆจะต้องเลือกชุดสอบหลักก่อนว่าจะสอบชุดใด (มีสอบแบ่งเป็น ช่วงเช้าและบ่าย) โดยเลือกตาม Requirement ของคณะที่น้องๆอยากเข้าครับ
กลุ่มที่ 1 - การสอบช่วงเช้า  (จัดสอบทุกครั้ง)
ชุดข้อสอบ STAR 100 : การอ่านคิดวิเคราะห์ , ความรู้รอบตัว , อังกฤษ
ชุดข้อสอบ STAR 201 : เลข 1 (สายวิทย์)
ชุดข้อสอบ STAR 202 : เลข 2 (สายศิลป์)

กลุ่มที่ 2 - การสอบช่วงบ่าย (จัดสอบทุกครั้ง)
ชุดข้อสอบ STAR 203 : ฟิสิกส์/เคมี/ชีววิทยา
ชุดข้อสอบ STAR 203A : ฟิสิกส์
ชุดข้อสอบ STAR 204 : วิทยาศาสตร์ทั่วไป 

กลุ่มที่ 3 - การสอบช่วงบ่าย (จัดปีละ 1-2 ครั้ง)
ชุดข้อสอบ STAR 303 : ความถนัดเฉพาะทางรัฐศาสตร์ 
ชุดข้อสอบ STAR 316 : ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

ชุดข้อสอบ STAR 401 : ภาษาฝรั่งเศส
• คะแนนสอบ TU STAR และการยื่นคะแนน
คะแนนสอบ TU STAR เก็บได้ 2 ปี 

โดยเปิดให้ เข้าสอบได้ปีละ 8 ครั้ง 
และระบบจะดึงคะแนนรอบที่ดีที่สุดของเรา ตอนทาง มธ. ประกาศรับตรงช่วงเดือนพฤศจิกายนของแต่ละปี
(ถ้าปีนี้ก็จะเป็น พ.ย. 59 สำหรับกำหนดการยื่นคะแนน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง รอติดตามอีกครั้ง) 
โดยเลือกยื่นคะแนนได้แค่คณะเดียวใน มธ. (ตามที่เคยเป็น) และหลังจากนั้นรอประกาศผลครับ

สรุปเกี่ยวกับการสอบ TU-STAR รับตรงระบบใหม่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คณะที่เปิดใช้ข้อสอบ TU-STAR ในการรับตรง

- การสอบรับตรงเดิมของทุกคณะในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งหมด 14 คณะ (คณะนิติศาสตร์ และวารสาร ไม่ได้เข้าร่วม) จะย้ายมาใช้ข้อสอบกลาง ที่ถูกเรียกว่า TU-STAR 
กำหนดการสอบ TU-STAR

- ปีการศึกษานี้จะมีการสอบทั้งหมด 8 ครั้ง โดยเป็นในปี 2559 6 ครั้ง และปี 2560 อีก 2 ครั้ง
- สอบรอบต่างจังหวัดกลายเป็นจัดคู่ขนานกับที่มธ.รังสิต ไม่ต้องเดินทางไปสอบแล้วนะคร้าบสำหรับเด็กกทม. (และพี่ปั้นก็เข้าสอบทุกรอบเหมือนเคย เพื่อไปดูแนวข้อสอบจริงสำหรับมาติวให้กับน้องๆ)


วิธีการสมัครสอบ TU-STAR

วิธีการสมัครสอบ TU STAR

ขั้นตอนการสมัครสอบ TU STAR

1. เข้าไปยังเว็บไซต์ ► www.tustar.tu.ac.th
2. กดลงทะเบียนและกรอกข้อมูลสมัครสมาชิก
3. เข้าสู่ระบบ
4. เลือกเมนูการสอบ 8 เมนูหลัก
5. เลือกสนามสอบ
6. พิมพ์ใบชำระค่าธรรมเนียมและชำระเงินตามช่องทางที่กำหนด
7. ตรวจสอบสถานการชำระเงิน (3 วันทำการ)
8. ตรวจสอบผังที่นั่งสอบ
9. หลังจากประกาศผลสามารถตรวจสอบคะแนนได้ที่ ► www.tustar.tu.ac.th
ข้อสอบของ TU-STAR
ข้อสอบแต่ละชุดมีวิชาหลักๆดังนี้
1. Critical Thinking Reading and Writting - 50 ข้อ
- คล้ายๆการอ่าน คิด วิเคราะห์ จับใจความ (เห็นในเอกสารเขียนว่า ดูจากแนวของข้อสอบต่างประเทศ เอามาใช้กับของไทย) น่าจะคล้ายๆข้อสอบการอ่านของ Smart-I ครับ แต่เพิ่มเป็น 50 ข้อ ใน 1 ชั่วโมง

2. Modern World Literacy - 30 ข้อ
- วัดความรู้รอบตัว และเท่าทันเหตุการณ์ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม/วัฒนธรรม การเมือง เทคโนโลยี และสุขภาพ คาดว่าจะคล้ายวิชาความรู้รอบตัวเดิม แต่อาจจะกว้างขึ้น เพราะต้องใช้ของหลายคณะ (แต่เดิมก็กว้างมากๆๆๆๆอยู่แล้วนะ 555) 30 ข้อ 30 นาที (ของ Smart-I 25 ข้อ 15 นาที)

3. Communicative in English - 40 ข้อ
- ข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ ปกติ ยังไม่แน่ใจระดับความยากครับ ** ส่วนตัวคิดว่า น่าจะคล้ายๆข้อสอบ TU GET หรือคล้าย Smart-I ของเดิม (40 ข้อ 60 นาที ตามเดิม) เรียนกับพี่โอม Forward English ได้ตามเดิมเลยครับ

4. คณิตศาสตร์ 1 (สายวิทย์) - 25 ข้อ
- น่าจะมีความคล้ายกับข้อสอบเลขของ 9 วิชาสามัญ (เลขยาก) >> ตัวอย่าง http://rathcenter.com/ctms.html
** ข้อสอบนี้จะเป็น เลข ม.ปลาย แต่ยังพอเป็นคณิตศาสตร์ที่คุยรู้เรื่อง ไม่หลุดโลกขนาด PAT1 ครับ
(ในอนาคตพี่ปั้นอาจจะค่อยๆสอนได้เพิ่มทีละบทสองบท กับเจ้าตัวข้อสอบนี้ด้วยครับ)

5. คณิตศาสตร์ 2 (สายศิลป์) - 30 ข้อ
- เลขนี้ใช้กับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ซึ่งพี่ปั้นจะต้องสอนตัวนี้
** เท่าที่ทราบข้อมูลจากอาจารย์ เนื้อหาการสอบน่าจะมีความคล้ายคลึงกับตัวข้อสอบเลขของ Smart-I แต่ตัวพี่เองก็ยังไม่แน่ใจ 100% ว่าข้อสอบจะเป็นในทางไหน ยังไงพี่จะเข้าสอบกับน้องๆและต้องดูแนวทางอีกทีนะครับ แต่หลังจากเข้าสอบแล้ว รับรองว่าสอนตรงเป๊ะแน่นอน !!
(สำหรับน้องๆที่ลงคอร์ส Smart-I ไปก่อน ส่วนที่เนื้อหาต่างกัน พี่ปั้นจะจัดสอนเสริมที่ขาดให้ฟรีครับ)
** อย่างไรก็ตาม น้องๆไม่ต้องกลัวว่าข้อสอบจะหลุดโลกแบบ PAT1 หรือมาแบบเลข ม.ปลายจ๋านะครับ ถ้าหากจะมีการปรับแนวน่าจะเทไปทางคล้ายๆเลข Onet มากขึ้น หรือไปทางเลขของ GMAT ซึ่งไม่ได้ยากแบบหลุดโลกแน่นอน (ซึ่งทั้ง 2 แนวดังกล่าว ก็ไม่ได้หลุดจากแนว Smart-I ไปนัก)

6. ฟิสิกส์ / เคมี / ชีวะ - 25 / 50 / 50 ข้อ

7. วิทยาศาสตร์ทั่วไป - 50 ข้อ


8. ภาษาฝรั่งเศส - 40 ข้อ

เจาะลึก Admissions 59 : 50 คณะ/สาขา เปิดใหม่เปิดรับสมัครครั้งแรกจ้า !!

Admissions 59 นี้มีคณะเปิดรับในแอดกลางครั้งแรกหลายคณะ/สาขาเลยจ้า เช่น สถาปัตย์ เชียงใหม่ , พยาบาล สุรนารี , เรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,สาธารณสุข ธรรมศาสตร์ ลำปาง , บูรพา ศึกษาศาสตร์ 

10 อันดับ มหาวิทยาลัยยอดนิยมของไทย 2016

4 International Colleges & Universities หรือ 4ICU.org ประกาศผล "The 2016 University Web Rankings : Top 200 Universities in the world" หรือเว็บมหาวิทยาลัยยอดนิยมระดับโลกที่มีการสืบค้นและเข้าชมมากที่สุดจากตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา


ผลปรากฎว่า top 200 ระดับโลก มีมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับตามคาด ซึ่งในจำนวนนี้มีมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยในการจัดอันดับหลายสถาบันติดอันดับอยู่ด้วย โดยอยู่ในอันดับที่ 1 ของไทย ส่วน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อันดับที่ 2 ของประเทศ อันดับที่ 74 ของเอเชีย และลำดับที่ 455 ของโลก และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้อันดับที่ 3 ของประเทศ อันดับที่ 89 ของเอเชีย และลำดับที่ 534 ของโลก
นอกจากนี้การที่เว็บไซต์ที่มีข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน และมีการ Update ข้อมูลข่าวสารที่สม่ำเสมอจะถูกนำมาใช้ในการพิจารณาจัดอันดับอีกด้วย
- Alexa Traffic Rank
- Majestic Seo Referring Domains
- Majestic Seo Citation Flow
- Majestic Seo Trust Flow



โดยที่อันดับ 1 ถึง 5 ของโลกเป็นของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Massachusetts Institute of Technology ,Stanford University, Harvard University , University of California- Berkeley University of California, Cornell University ตามลำดับ
การจัดอันดับเว็บไซต์โดยระบบ 4 International Colleges & Universities (4icu.org) เป็นการจัดอันดับเว็บไซต์มหาวิทยาลัยโดยระบบ 4 International Colleges & Universities (4icu.org) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ มีสำนักงานอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ดำเนินการจัดอันดับความนิยมเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศและทั่วโลกมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 โดยรายงานผลปีละ 2 ครั้ง คือ เดือนมกราคมและเดือนกรกฎาคม มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดอันดับความนิยมของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยนานาชาติ บนพื้นฐานของความนิยมในการเข้าติดตามชมเว็บไซต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเว็บไซต์ที่ช่วยให้นักศึกษานานาชาติได้เข้าใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยนานาชาติมากยิ่งขึ้น
การจัดอันดับเว็บไซต์มหาวิทยาลัย โดยระบบ 4 International Colleges &Universities (4icu.org)ไม่มีการรายงานเกณฑ์ที่ใช้จัดอันดับ เนื่องจากเหตุผลทางลิขสิทธิ์และป้องกันการสร้างข้อมูล เพื่อให้ผลการจัดอันดับดีขึ้น ทั้งนี้ได้อ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลอิสระที่เป็นเครื่องมือในการการสืบค้นสามประเภท ได้แก่Google, Alexa และ Majestic Seo โดยใช้กลางอิสระห้าแบบ เพื่อวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่สกัดจากสามเครื่องมือค้นหาที่แตกต่างกัน ได้แก่
- Google Page Rank


อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย





ซึ่งผลดังกล่าวเป็นการจัดอันดับเว็บไซต์มหาวิทยาลัยของ 4icu.org เดือน มกราคม 2016 ล่าสุด มีสถาบันการศึกษาถูกจัดอันดับ จำนวน 11,606 แห่ง จาก 200 ประเทศ โดยปีนี้มี 3 มหาวิทยาลัยไทยที่ติด Top 100 Universities and Colleges in Asia ของเอเชียคือ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อันดับที่ 1 ของประเทศ อันดับที่ 62 ของเอเชีย และลำดับที่ 385 ของโลก รองลงมาเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อันดับที่ 2 ของประเทศ อันดับที่ 74 ของเอเชีย และลำดับที่ 455 ของโลก และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้อันดับที่ 3 ของประเทศ อันดับที่ 89 ของเอเชีย และลำดับที่ 534 ของโลก ที่น่าสังเกตคือ มหาวิทยาลัยรัฐที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของที่ได้ความนิยมเป็น 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติทั้งหมด และมี 1 มหาวิทยาลัยเอกชน

เว็บอ้างอิง : http://campus.sanook.com/1380709/


มหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยราชภัฎจัดอันดับโดย webometrics สถาบันจัดอันดับประเทศสเปน

" 10 อันดับ มหาวิทยาลัยเอกชนที่ดีที่สุดในประเทศไทย " เรียงลำดับ


1.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
2.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
3.มหาวิทยาลัยรังสิต
4.มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
5.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
6.มหาวิทยาลัยสยาม
7.มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
8.มหาวิทยาลัยศรีปทุม
9.มหาวิทยาลัยหัวเฉลียวเฉลิมพระเกียรติ
10.วิทยาลัยเซนต์หลุยส์


" 10 อันดับ มหาวิทยาลัยราชภัฏที่ดีที่สุดในประเทศไทย " เรียงลำดับ


1.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2.มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
3.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
4.มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
5.มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
6.มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
7.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
8.มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณณี
9.มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
10.มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง

มหาวิทยาลัยเอกชนและสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆของเอกชน

มหาวิทยาลัยเอกชน

·         มหาวิทยาลัยเกริก
·         มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
·         มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา
·         มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา
·         มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น
·         มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
·         มหาวิทยาลัยเนชั่น
·         มหาวิทยาลัยเวบสเตอร์
·         มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
·         มหาวิทยาลัยเอเชียน
·         มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
·         มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
·         มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
·         มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
·         มหาวิทยาลัยคริสเตียน
·         มหาวิทยาลัยชินวัตร
·         มหาวิทยาลัยตาปี
·         มหาวิทยาลัยธนบุรี
·         มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
·         มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่
·         มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
·         มหาวิทยาลัยนานาชาติเอเชีย-แปซิฟิก
·         มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
·         มหาวิทยาลัยปทุมธานี
·         มหาวิทยาลัยพายัพ
·         มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
·         มหาวิทยาลัยฟาฏอนี
·         มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น
·         มหาวิทยาลัยภาคกลาง
·         มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
·         มหาวิทยาลัยรังสิต
·         มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
·         มหาวิทยาลัยราชธานี
·         มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
·         มหาวิทยาลัยศรีปทุม
·         มหาวิทยาลัยสยาม
·         มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
·         มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
·         มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
·         มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
·         มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย

สถาบันอุดมศึกษาอื่นๆของเอกชน


·         วิทยาลัยเชียงราย
·         วิทยาลัยเซนต์หลุยส์
·         วิทยาลัยเซาธ์อีสบางกอก
·         วิทยาลัยเทคโนโลยีจิตรลดา
·         วิทยาลัยเทคโนโลยีพนมวันท์
·         วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้
·         วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
·         วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม (สยามเทค)
·         วิทยาลัยแสงธรรม
·         วิทยาลัยกรุงเทพสุวรรณภูมิ
·         วิทยาลัยดุสิตธานี
·         วิทยาลัยทองสุข
·         วิทยาลัยนครราชสีมา
·         วิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา
·         วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
·         วิทยาลัยพิชญบัณฑิต
·         วิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ
·         วิทยาลัยราชพฤกษ์
·         วิทยาลัยลุ่มน้ำปิง
·         วิทยาลัยสันตพล
·         วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง
·         สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
·         สถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา
·         สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
·         สถาบันเทคโนโลยียานยนต์มหาชัย
·         สถาบันกันตนา
·         สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน
·         สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
·         สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์
·         สถาบันรัชต์ภาคย์
·         สถาบันอาศรมศิลป์


อ้างอิงจากเว็บ : http://www.เกร็ดความรู้.net